Visiting Victoria Point

ทดสอบเส้นทางรถบัสโดยสารจากสิงคโปร์ถึงกรมกงสุลหลักสี่


  • ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเกาะสอง (ข้อมูลจากเว็บการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
    เกาะสองเป็นดินแดนในฝั่งสหภาพพม่าซึ่งอยู่ตรงข้ามจังหวัดระนองโดยมีแม่น้ำ กระบุรีกั้นขวางตรงตัวจังหวัดระนองพอดี นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปชมหรือซื้อสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก เช่น พลอย เครื่องหวาย เครื่องเขินพม่า เครื่องประดับทำจากเปลือกหอยและงาช้าง ฯลฯ สามารถเช่าเรือ ใช้เวลาข้ามฟากประมาณ 30 นาที อนุญาตให้ข้ามไปเที่ยวได้เฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่ต้องทำบัตรผ่านแดนก่อน โดยติดต่อด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง ถนนสะพานปลา



   เกาะสองที่เราเรียกกันนั้นไม่ใช่เกาะ แต่เป็นแผ่นดินปลายแหลมสุดของพม่า ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำกระบุรีตรงข้ามกับเมืองระนองของไทยนี่เอง เมื่อสมัยอังกฤษเข้าปกครองใช้ชื่อเรียกว่า “วิคตอเรีย พอยต์” (Victoria Point) แต่ปัจจุบัน ชาวพม่าเรียกกันว่า “บุเรงนอง พอยท์” (Bayintnaung Point)

    เกาะสองนี้มีผู้คนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ ทั้งพม่า มุสลิม มอญ จีน บ้านเรือนผู้คนบนเกาะสอง เป็นอาคารปูน สร้างเป็นตึกแถว ส่วนบ้านไม้ใต้ถุนสูงก็ยังคงมีให้เห็น แต่ที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือการแต่งกายของผู้คน ที่ผู้ชายจะนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าถุง บนใบหน้าประแป้งทานาคากันทั้งบ้านทั้งเมือง

  • สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญจะมีดังนี้

 • อนุสาวรีย์พระเจ้าบุเรงนอง ชาวพม่าได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ ทั้งที่บุเรงนองไม่เคยมาที่เมืองเกาะสองเลย


• เจดีย์กะบาเอ ซึ่งมีความหมายว่า "เจดีย์แห่งความสงบร่มเย็น" สร้างขึ้นเมื่อ ปี 2491 องค์เจดีย์จำลองรูปทรงมาจากเจดีย์กะบาเอที่เมืองย่างกุ้ง ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และบริเวณฐานด้านในเจดีย์มีพระพุทธรูปประจำวันเกิดตั้งอยู่ประจำทิศต่างๆ ส่วนบริเวณรอบๆ เจดีย์มีรูปปั้นเรื่องราวพระเจ้าสิบชาติและพระเจ้าทันใจให้กราบไหว้กัน

•  ตลาดนี้มีชื่อว่า " ร่างสุเวนีย์."  ซึ่งเป็นตลาดสดและเป็นแหล่งช้อปปิ้งของที่ระลึก และสินค้าพื้นเมืองเช่นซื้อผ้าโสร่ง ชาพม่า แป้งทานาคา (มีทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบที่ต้องฝนทานาคากับแผ่นหินเอง) และเครื่องหวาย ไม้แกะสลัก เครื่องประดับต่างๆ  ฯลฯ





     ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2015  ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องเดินทางกลับไทยเพื่อทำพาสปอร์ตเล่มใหม่เนื่องจากเล่มเก่าเต็ม(เล่มที่ 4 )   
     ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ว่างงานพอดี ก็เลยถือโอกาสทดสอบการเดินทางจากสิงคโปร์ถึง กทม. โดยรถบัสโดยสารดูว่ามันท้าทายแค่ไหน
    และช่วงระหว่างทางก่อนเดินทางเข้า กทม.  ผู้เขียนเองก็ได้หยุดแวะเที่ยวชมจังหวัดระนองและเกาะสองที่ฝั่งพม่าก่อน เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ได้แพลนไว้นานพอสมควรว่าสักวันจะต้องหาโอกาสไปเยือน....และวันนี้ฝันก็เป็นจริงซึ่งก็เลยนำภาพและเรื่องราวเล็กมาฝากกัน


  • การเดินทางจากสิงคโปร์
       ออกเดินทางจากตลาดไทยที่สิงคโปร์ (โกลเด้นไมล์คอมเพล็กซ์ (Golden Mile Complex )  เวลา 18:00 น. ประมาณของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ และมาถึงสถานีขนส่งหาดใหญ่เวลาประมาณ 8.30 น. ของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ จากนั้นก็นั้งรถ ปอ.1 เที่ยว 11.00 น. เดินทางต่อมาที่ระนอง และถึงระนองประมาณเกือบสามทุ่ม (ประมาณ 27 ชั่วโมง)

*** ลิงค์รายละเอียดวิธีการเดินทางด้วยรถบัสโดยสารจ => รถบัสจากสิงคโปร์มาหาดใหญ่


 หลังจากมาถึงสถานีขนส่งระนองแล้วก็มุ่งหน้าตรงดิ่งไปยังตัวเมืองเพื่อหาโรงแรมสำหรับพักผ่อนเอาแรงเพื่อลุยๆใปยังจุดปลายทางที่ตั้งใจในวัดถัดไป

 แพลนคร่าวๆของทริปนี้ก็คือจะหยุดแวะเที่ยวและหาความรู้ที่ระนองสักสองสามวันก่อนเดินทางเข้า กทม.  (เนื่องสถานกรมกงศุลที่หลักสี่ ปิดทำการช่วงเสาร์-อาทิตย์ )    สำหรับจุดหมายที่ชัดเจนก็มีเพียงแค่เกาะสองฝั่งพม่า  ส่วนวันที่เหลือก็แล้วแต่สถานะการณ์จะพาไป


  • เช้าวันใหม่ที่ระนอง
         หลังอาบน้ำอาบท่าและเรียกความสดชื่นด้วยกาแฟดำเรียบร้อย  ก็ทำการหาข้อมูลและเดินทางตรงดิ่งไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าน้ำระนองเพื่อทำบัตรผ่านแดน (ด้วยรถสองแถวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของระนองค่าโดยสาร 20 บาท)


(ภาพประกอบจากกลูเกิล) สองแถวจังหวัดระนอง 

***  รถสองแถวที่ระนอง ส่วนใหญ่ตัวรถ(ส่วนที่บรรทุกผู้โดยสารด้านหลัง)จะทำด้วยไม้ ส่วนเหตุผลที่ต้องทำด้วยไม้นั้น เจพแฮปปี้ระนองได้กล่าวไว้ดังนี้

    รถสองแถวไม้ เป็นรถโดยสารประจำจังหวัดระนองที่มีเอกลักษณ์ โดยอาศัย ฝีมือจากช่างประกอบภายในท้องถิ่น โดยในปัจจุบันรถโดยสารประเภทนี้ยังมีให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป และสามารถพบเห็นได้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้สาเหตุที่จังหวัดระนองใช้ไม้ในการต่อรถสองแถว เนื่องจากเป็นการลดการการเกิดสนิมทั้งนี้ (ราคาค่าโดยสารปัจจุบัน 20 บาท)

  •  แวะชมสะพานปลา
       สำหรับด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้นจะตั้งอยู่ที่ท่าน้ำระนองและอยู่ใกล้ๆกับท่าเทียบเรือประมงหรือสะพานปลา...ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้มาก็เลยแวะเยี่ยมชมบรรยากาศสะพานปลาเพื่อดูการประมูลปลายามเช้าก่อนเดินทางข้ามฝั่งไปเกาะสอง

ปลารอการประมูลขาย

กุ้ง

ปูม้า


ปลาฉลาม


  • ได้เวลาไปเกาะสอง
    หลังเสร็จจากเดินดูสะพานปลาก็เดินทางต่อไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองซึ่งอยู่ถัดไปจากสะพานปลาประมาณ 50 เมตรเพื่อทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว (Temporary Border Pass)

      *** สำหรับเอกสารประกอบการทำบัตรผ่านแดนก็ใช้เพียงแค่บัตรประชาชนตัวจริงพร้อมค่าธรรมเนียม 30 บาท  จากนั้นก็ทำการถ่ายเอกสาร 2 ชุดเพื่อใช้เป็นหลักฐานที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทยและฝั่งพม่าอย่างละชุด


ตัวอย่างบัตรผ่านแดนชั่วคราว

 หลังได้บัตรผ่านแดนชั่วคราวเรียบร้อยแล้วจากนั้นก็ไปนั่งเรือหางยาวข้ามฟากเพื่อเดินทางไปที่วิคตอเรียพ้อยท์ หรือเกาะสองที่เราคุ้นเคย
***  หากท่านเดินทางมาเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะการเช่าเรือเหมาลำจะสะดวกและรวดเร็วกว่า ส่วนราคาก็ขึ้นอยู่กับการต่อรอง เช่น 700-800 บาทสำหรับกลุ่มเล็กไม่เกิน 8 คน  (ไป-กลับ)  แต่สำหรับผมเดินทางคนเดียวก็เลยเดินทางร่วมกับคนท้องถิ่นแบบสบายๆ ค่าเรือก็เที่ยวละ 50 บาท


ท่าเที่ยบเรือหางยาวโดยสาร
เริ่มออกเดินทางจากฝั่งไทย  ส่วนด่านหน้าคือด่านศุลกากร และด่านตรวจคนเข้าเมือง


  • วิ่งเข้าท่าเที่ยบเรือฝั่งพม่า
  หลังใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที  เรือก็พามาเทียบท่าที่ฝั่งพม่า....และเมื่อขึ้นฝั่งก็จะมีไกด์ รถยนต์รวมถึงมอไชต์รับจ้างอาสาพาเที่ยว ...แต่ผมยังไม่สนใจและเดินเลี่ยงไปชมศาลาซึ่งมีหน้าตาคล้ายวังของกษัตรย์พม่าที่อยู่ใกล้ๆด้านซ้ายมือซึ่งมองเห็นมาแต่ไกล ว่ามันคืออะไรและมีอะไรอยู่ในนั้น
ศาลาจำลองวังของพราะเจ้าบุเรงนอง อตีดกษัตรย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพม่า   บริเวณโดยรอบจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม และอื่นๆ   ส่วนด้านบนไม่มีอะไรและก็ไม่อนุญาตให้ขึ้นไป  ซึ่งก็ได้แต่เดินดูรอบ

 หลังจากนั้นก็เดินไปเที่ยวชมตลาด (ตลาดร่างสุเวนีย์) ที่อยู่ติดๆกัน ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของเกาะสองแห่งนี้ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกและสินค้าพื้นเมือง....งานนี้เสือน้อยไม่ซ๊อบ  ได้แค่หม่ำเอาแรงอย่างเดียว  (รายละเอียดอยู่ด้านบน ในส่วนของความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเกาะสอง)
ลอดช่อง ...

อ้อยควั่น พวงละ 5 บาท

อาหารยอดฮิตของพม่าเชื้อสายอินเดีย ... ชาร้อนๆและขนมกรอบๆ ชิ้นละ 7 บาท




    หลังจากเดินชมตลาดอยู่สักพักประมาณ 1 ชั่วโมง  เสือน้อยก็เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวถัดไป นั้นคือ  "เจดีย์กะบาเอ "
   เที่ยวนี้เดินทางโดยมอไชต์ ( ราคาเหมามอไชต์ => 3 ชั่วโมง 120 บาท พร้อมคนขับ+น้ำมัน )

***  พม่าไม่อนุญาตให้สวมใส่รองเท้าเข้าบริเวณวัดและเจดีย์ ดังนั้นควรหาจังหวะไปช่วงแดดร่มลมตกเข้าชมวัดและเจดีย์  มิฉนั้นพื้นจะร้อนมาก...ร้อนจนเดินแบบไม่ได้เลยทีเดียว ขอบอก

เจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ

บริเวณโดยรอบ

พระพุทธรูปที่อยู่ด้านข้างของเจดีย์

บริเวณวัดที่อยู่ด้านหลังเจดีย์

อันนี้น่าจะเป็นฤาษี...

ลูกหินประกอบคำอธิฐาน

เด็กพม่าแสดงตัวอย่างให้ดู ....หลังจากอธิฐานกับฤาษีเสร็จ ก็ให้ทำการยกลูกหิน  ประมาณว่าถ้าเป็นได้ก็จะยกไหวอะไรประมาณนี้

ฟรี ...... น้ำดื่มที่ทางวัดจัดไว้ต้อนรับผู้มาเยือน



หลังเเสร็จจากเดินชมวัด เจดีย์และไหว้พระเรียบร้อย  มอไชต์พร้อมไกด์ก็พาเสือน้อยไปยังแหล่งท่องเที่ยวถัดไป  นั่นคืออนุสาวรีย์พระเจ้าบุเรงนอง (รายละเอียดอยู่ด้านบน ในส่วนของความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเกาะสอง)









เมื่อเสร็จสิ้นการเยื่อมชมแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญๆของเกาะสองเรียบร้อยแล้ว...เสือน้อยก็ได้เดินทางกลับระนองด้วยเรือหางยาวเหมือนดังตอนขามา

จากนั้นก็กลับไปที่โรงแรมและเปลี่ยนชุดเพื่อไปแช่น้ำแร่ ที่อยู่ใกล้ๆกับบริเวณตัวเมืองระนอง....

หลังจากเดินทางตะลอนๆเที่ยวมาทั้งวัน และมาสิ้นสุดด้วยการลงแช่น้ำพุร้อนตอนเย็นนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ลงตัวมากมายสำหรับวันนี้  ซึ่งเป็นอะไรที่ผ่อนคลายและสบายเนื้อสบายตัวเป็นอย่างยิ่งขอบอก....



  • วันที่สองที่ระนอง

    ระนองนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวอยู่จำนวนมากที่บริเวณอำเภอกะเปอร์ กระบุรี  ส่วนในเขตอำเภอเมืองนอกจากจะมีเกาะสองและน้ำพุร้อนแล้วก็ยังมีสถานที่อื่นๆอีกเช่น วัดหาดส้มแป้น  สุสานเจ้าเมืองระนอง  อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว  ภูเขาหญ้าหรือเขาหัวล้าน  เกาะเต่า เกาะนางยวน เกาะช้าง   เกาะพยาม  และอื่นๆ

    และด้วยเวลาที่จำกัดที่เหลืออยู่เพียงอีก 1 วัน ทริปนี้เสือน้อยก็เลือกที่จะไปเที่ยวที่เกาะพยาม ซึ่งเป็นเกาะที่ได้ชื่อว่าสวยสดงดงามและยังคงเป็นธรรมอยู่ซึ่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาพักผ่อนปลีกวิเวกและชาร์จแบตฯเติมพลังหลังเหน็ดเหนื่อยจากการงาน..

บัตรโดยสารเรือสปีดโบ๊ทไปเกาะพยาม

ภาพพาโนรามา เมื่อไปถึงเกาะพยาม

บริเวณชายหาด

อีกด้านหนึ่งของบริเวณชายหาด



เกาะพยามมีอ่าวหลายอ่าว(คงบรรยายไม่หมดในที่นี้) และยังคงเป็นธรรมชาติอยู่ค่อนข้างมากเลยทีเดียว ดังนั้นการเดินทางบนเกาะที่สะดวกที่สุดมีหนทางเดียวคือใช้มอเตอร์ไชต์ซึ่งก็มีร้านให้เช่าอยู่มากมาย ราคาก็ 150-200 บาทต่อวัน

สำหรับเกาะนี้นอกเหนือจากความงดงามตามธรรมชาติแล้วก็ยังมีชาวเกาะอาศัยอยู่อีกด้วยซึ่งมีชื่อเรียกว่า "ชาวมอแกน "



เรื่องราวของชาวมอแกน

Moken Village : หน้าหมู่บ้านชาวมอแกน
***  สไตล์ของเสือน้อยเป็นแบบทำงานไปเที่ยวไป ดังนั้นกล้องบันทึกภาพก็จะเป็นกล้องของสมาร์ทโฟน ก็เลยทำให้ภาพไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ... หากท่านใดต้องการภาพชัดๆแนะนำให้เสิร์จดูจากกลูเกิลอีกที่...สำหรับท่านที่จะเดินทางจาก กทม. หรือจากที่อื่นๆแล้วละก็สามารถอ่านรีวิวและดูดูภาพสวยๆก่อนได้ที่นี่>>> เกาะพยาม



ทริปนี้เป็นการไปเช้าเย็นกลับ (ไปเที่ยวประมาณ 9.30 น. และกลับถึงฝั่งประมาณ 16.00 น.)  จากนั้นก็เดินทางไปสถานี  บขส. เพื่อนั่งรถเที่ยวสองทุ่มกลับเข้า กทม.

ถึงสถานีขนส่งหมอชิตเวลาเกือบหกโมงเช้า  จากนั้นก็เดินทางต่อไปสถานกรมกงศุล ที่หลักสี่เพื่อไปทำพาสปอร์ตเล่มใหม่

ผลของการเที่ยวแบบลุยๆ  นอนมั่งไม่นอนมั่ง สุดท้ายรูปถ่ายพาสปอร์ต(เล่มที่ 5) ก็เลยออกมาดังรูปที่เห็น (ประมาณได้ว่า...โจรจังกรู .. 55)







Thanks  เพื่อนๆที่ติดตาม..

No comments:

Post a Comment