@ Vientiane

แบกเป้เที่ยวลาว ตอนที่ 1 ( หมอชิต-เวียงจันทน์)


หมอชิต - หนองคาย - เวียงจันทน์ - วังเวียง - หลวงพระบาง - เชียงของ - กทม.



      การเดินทางทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนพศจิกายน 2012 (4-10 พ.ย.)  ซึ่งเป็นช่วงที่เดินทางจากสิงคโปร์มาเซอร์วิชแท่นเจาะน้ำมันที่ลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
    และในระหวางที่  standby รอให้แท่นเจาะฯเคลื่อนย้ายไปติดตั้งยังที่แห่งใหม่ให้เรียบร้อยนั้นก็จะมีบัฟเฟอร์ไทม์อยู่ประมาณ 5 วัน..ซึ่งจะต้องแสตนบายรอจนกว่าแท่นจะติดตั้งเสร็จและเริ่มทำการขุดเจาะ ณ ที่หลุมแห่งใหม่  เราจึงจะเข้าไปเซอร์วิชได้



    "การทรมานคือการรอคอย....(คลิป)  "    และเมื่ออารมณ์เป็นไปตามเพลง..ดังนั้นก็เลยจัดการกับเวลาด้วยการแบกเป้ นั่งรถ บ.ข.ส ข้ามไปทัศนศึกษา ณ ประเทศลาว.
ภาพประกอบจากกลูเกิล ออกเดินทางคืนวันที่ 4 พ. ย. 2012


         บ.ข.ส. จากหมอชิต วิ่งตรงสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวที่หนองคาย   (มีจุดจอดแวะให้พักรับประทานอาหารและจัดการกับภาระกิจเป็นช่วงๆ)   และถึงที่สะพานมิตรภาพฝั่งไทยก็ประมาณหกโมงเช้ากว่าๆ ซึ่งเป็นเวลาที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองซึ่งก็ยังไม่เปิด   และต้องนั่งรออยู่ฝั่งไทยชั่วขณะ





   
      ปกติด่านจะเปิดเวลา 08.00 -20.00 น.  แต่อย่างไรก็ตามเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะเดินทางข้ามไปฝั่ง สปป.ลาวก็จะมีเจ้าหน้าที่มาทำงานก่อน 08.00 น.  แต่ทว่าผู้โดยสารต้องจ่ายเงินพิเศษเป็นค่าทำงานล่วงเวลาหรือเป็นค่ามาทำงานก่อนเวลาประมาณ  40 บาท ต่อคน ( หากจำไม่ผิด)

*** ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับการเดินทางเช่น การฝากรถสำหรับผู้ที่เอารถไปเอง  วิธีการทำบัตรผ่านแดน รวมถึงเส้นทางการเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ แนะนำให้ดูที่ลิงค์นี้ครับ => ขั้นตอนการท่องเที่ยว เวียงจันทร์ ลาว (สะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว)



      เมื่อผ่านสะพานมิตรภาพมาได้ไม่นาน (30 นาที) รถ บ.ข.ส. ก็พามาส่งที่สถานีขนส่งที่เมืองเวียงจันทน์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับตลาดเช้า ( Morning Market ) ซึ่งเป็นตลาดยอดนิยมของชาวเมืองเวียงจันทน์ ...




    การเดินทางครั้งไม่ได้มีการแพลนล่วงหน้าประมาณว่า " no plan have a good plan "  ...มีแต่แพลนครา่าวว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ใดและเมื่อนึกขึ้นได้ก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วก็เดินทางเลย ... ดังนั้นเมื่อมาถึงเวียงจันทน์ก็เลยนั่งมึนอยู่สักพัก

      หลังจากนั้นก็ทำการหาข้อมูลว่าที่เวียงจันทน์นั้นมีสถานที่หรือแลนด์มาร์คที่ผู้คนนิยมไปท่องเที่ยวนั้นมีที่ไหนบ้าง?  และจะต้องเดินทางอย่างไรจึงจะใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด ...



และแล้วก็ค้นพบคำตอบสุดท้ายที่ลงตัวสำหรับคนโฉดที่เดินทางแบบฉายเดี่ยวชนิดคำไหนนอนนั่น ... นั้นก็คือมอไชต์ ....



      เมื่อได้คำตอบ...จากนั้นก็เลยตรงดิ่งไปยังร้านเช่ามอไชต์แถบย่านเกสท์เฮาท์และย่านโรงแรมที่พักซึ่งอยู่ใกล้ๆกับตลาดเช้า...(ค่าเช่าก็ประมาณ  75,000 -100,000 กีบ  หรือ ประมาณ 350-400 บาท ต่อวัน โดยขึ้นอยู่กับรุ่นและแบบของมอเตอร์ไชต์)

    เมื่อได้มอเตอร์ไชต์คู่ชีพแล้ว  อันดับแรกเลยก็คือมาหาอะไรกิน ตามด้วยนั่งทอดอารมณ์และผ่อนคลายด้วยกาแฟสดท้องถิ่นพร้อมทั้งนั่งศึกษาแผนที่ไปพลางๆ...


5 พ. ย.  2012.... เดินทางมาเหนื่อยๆ ก็เลยทำการรีเฟรช (Re-fresh) ด้วยกาแฟสดลาวก่อน 1 ถ้วย 
เพื่อให้ระบบได้ตื่นจากความง่วงเหงาหาวนอน


     และ เมื่อกาแฟหมดแก้ว  ่สมองและสองขาก็เริ่มทำงาน และเริ่มต้นด้วยการสำรวจตลาดเช้า ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักช๊อบ ...





  • ข้อมูลตลาดเช้า      ตลาดเซ้า-ดิวตี้ฟรีลาว : สำหรับขาช้อปไม่มีหงอย ในเวียงจันทน์มีตลาดใหญ่ๆ บนถนนลานช้างอย่างตลาดเซ้าให้ช้อปกระจาย โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบผ้าทอลาวลายโบราณ งานแกะสลักไม้ และของที่ระลึกมีให้เลือกหลายร้าน บางโซนเหมือนห้างติดแอร์เน้นสินค้าจากจีน ไทย เวียดนาม จำพวกสินค้าอุปโภค-บริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ เสื้อผ้า ร้านขายทองและเครื่องเงิน ฯลฯ 

  • คลิปบรรยากาศตลาดเช้า




     

         หลังเดินชมตลาดเช้าเสร็จเรียบร้อย...สถานีต่อไปก็คือวัดธาตุหลวง  ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของลาวและชาวเวียงจันทน์   ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นพระธาตุที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนหัวเหน่า ๒๗ องค์ ... รูปแบบสถาปัตยกรรมเหมือนกับพระธาตุพนม และสร้างขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ... (Cr: คมชัดลึก)



     หลังใช้เวลาศึกษาและเยี่ยมชมวัดพระธาติหลวงอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษ ก็ทำการ  make a move  เดินทางเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ถัดไป...นั่นก็คือประตูชัย


Patuxay  Monument



ภาพเพดานด้านบน ของประตูชัย
  •  ข้อมูลประตูชัยแด่ชาวลาวผู้เสียสละ :
       
     ประตูชัย อนุสรณ์สถานแห่งชัยชนะหลังถูกปลดปล่อยจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ประตูชัยมีความสูง 49 เมตร เด่นสง่าด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากประตูชัยในกรุงปารีส แต่ราย-ละเอียดของสถาปัตยกรรมล้วนบ่งบอกเอกลักษณ์ของลาวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาวงานปูนปั้นเล่าเรื่องมหากาพย์รามายณะที่ใต้ซุ้มประตู และมีบันไดวนขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ใกล้กันยังเป็นที่ตั้งอาคารทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงต่างๆ สามารถปั่นจักรยานหรือเดินเล่นชมเมืองได้สบาย


       อีกเช่นเคยหลังจากได้เข้าไปศึกษาและเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมของประตูชัยเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการเดินทางต่อไปสถานที่ถัดไป ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางด้านศาสนาซะเป็นส่วนใหญ่  นั่นก็คือ วัดสีสะเกด หอพระแก้ว และ วัดศรีเมือง ..

       สำหรับวัดสีสะเกดและ หอพระแก้วนั้นจะอยู่ใกล้ๆกัน คือจะตั้งอยู่กันคนละฝั่งถนน   ส่วนวัดศรีเมืองนั้นจะอยู่ห่างไปอีกประมาณ 500 เมตร ซึ่งตั้งติดอยู่กับสถานทูตฝรั่งเศส


        สำหรับประวัติและเรื่องราวของวัดที่กล่าวมานั้น ก็พอสรุปได้คราวๆดังนี้ ;
  • หอพระแก้ว
    หอพระแก้ว คือสถานที่เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร  ปัจจุบันเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐาน... เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันได้รับการอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพมหานครในสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นผู้อัญเชิญ
  • วัดสีสะเกด (Si Saket Temple)
     เป็นสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือจากการถูกทำลายจากสยาม  ซึ่งในประวัติศาสตร์ พระเจ้าตากสินมหาราชก่อตั้งกรุงธนบุรีและอัญเชิญ พระแก้วมรกต มาจาก เวียงจันทน์ ซึ่งสถิตอยู่ที่ หอพระแก้วแห่งนี้ ทำให้หอพระแก้วแห่งนี้ว่างเปล่า ต่อมาในสมัยพระนั่งเกล้าฯ (ซึ่งอาณาจักรล้านช้าง หรือลาว เป็นเมืองขึ้นสยาม) เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์คบคิดออกห่างจากสยามและเข้าโจมตียึดหัวเมืองอีสาน เมื่อสยามกำราบชนะแล้วจึงสำเร็จโทษเจ้าอนุวงศ์ และเผาเมือง เวียงจันทน์ เสีย เว้นแต่ หอพระแก้ว และวัดสีสะเกด
  •  วัดศรีเมือง
    ตั้งอยู่บนถนนเชษฐาธิราช ทางทิศตะวันออกของสถานทูตฝรั่งเศส เป็นวัดแห่งหนึ่งในนครเวียงจันทน์ที่มีประชาชนลาวเดินทางไปสักการะบูชาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ภายในวัดศรีเมืองเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์ วัดศรีเมืองสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2106 โดยเหล่าเสนาอำมาตยืของพระเจ้าไชยเชษฐาธราชได้ลงความเห็นให้สร้างวัดศรีเมือง ณ ที่แห่งนี้ ต่อมาถูกกองทัพสยามทำลายลงในปีพ.ศ.2371 และสร้างวัดศรีเมืองขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2458 ภายในวัดศรีเมืองมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย โดยเฉพาะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ พระพุทธรูปองค์นี้ได้ชำรุดไปบางส่วน ซึ่งชาวลาวเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์เป้นอย่างมาก

***  ค่าเช้าชมคนละ 5,000  กีบ  หอพระแก้วจะเปิดให้ชมตั้งแต่เวลา 08.00 – 12.00 น., 13.00 น. - 16.00 น. พักเที่ยง 1 ชั่วโมงและต้องแต่งตัวสุภาพรวมถึงห้ามถ่ายรูปภายในหอพระแก้ว  ส่วนวัดศรีเมืองก็จะเปิดให้ชม 08.00-17.00 น.







 


ภายในโบสถ์ วัดศรีเมือง  ซึ่งมีพระแก้วมรกตประดิษฐาน






หลังเสร็จเยี่ยมชมวัด+ไหว้พระขอพรเรียบร้อยแล้ว    ก็ขับมอไชต์คู่ชีพ วิ่งเลาะถนนริมฝั่งแม่น้ำโขง   ชมและวิถึชีวิตและทัศนียภาพของชาวเวียงจันทน์ริมฝั่งโขง    และแลนด์มาร์คที่สำคัญของบริเวณนี้ ก็คืออนุสาวรีย์เจ้าอนุวงษ์ดังภาพ




***  ประวัติเจ้าอนุวงษ์อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่   ==>  เจ้าอนุวงษ์


และหลังเสร็จสิ้นการขับรถเที่ยวชมทัศนียภาพริมน้ำโขงแล้ว   ก็เดินทางเข้าย่านเกสท์เฮ้าท์เพื่อหาอะไรหม่ำ  ก่อนที่จะจับรถเดินทางต่อไปยังวังเวียง  ซึ่งได้ชื่อว่ากุ้ยหลินของลาว




สำหรับเรื่องของเมืองวังเวียง และหลวงพระบางนั้น จะได้นำมารีวิวเล่าสู่กันฟังในตอนถัดไป  ....  โปรดอย่าลืมติดตามนะครับ


No comments:

Post a Comment